วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551

"ภูมิภาคนิยม - ชนชั้นนิยม" ความรุนแรงทางการเมืองในสังคมไทย
โดย : วรภัทร วีรพัฒนคุปต์
เมื่อ : 7/01/2008 12:57 PM เป็น ไปตามที่คาดหมายสำหรับผลการเลือกตั้ง ที่แทบจะไม่ต้องลุ้นผลที่จะออกมา เพราะเห็นแนวโน้มมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ลงประชาติรางรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งครั้งนั้นหากหลายคนยังจำกันได้ ภาคอีสานกับภาคเหนือเป็นพื้นที่สีแดงจนแทบจะใช้คำว่ายกภูมิภาคก็เห็นจะไม่ ผิด และมีจุดที่น่าสนใจตรงที่ว่า พื้นที่ภาคใต้แม้จะเป็นสีเขียวทั้งหมด แต่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้กลับเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนบัตรกาโหวตโนสูงที่ สุดในพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด

และก็เป็นไปตามคาด พรรคพลังประชาชน กวาดภาคอีสานกับภาคเหนือจนแทบเรียบ และน่าสนใจว่าจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นถิ่นของ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นแชมป์มาหลายสมัยแล้ว แม้จะเปลี่ยนแบรนด์กี่ครั้งก็ไม่เคยทำให้คะแนนเสียงหด แต่ครั้งก็นี้ก็ยังถูกพลังประชาชนกวาดยกจังหวัด ส่วน ภาคกลางก็ถัวๆ กันไป ภาคใต้ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าพรรคอะไรจะเป็นแชมป์ ก็ได้เป็นแชมป์ตามนั้น แต่น่าสังเกตว่า ในจังหวัดยะลากับนราธิวาสซึ่งเป็นพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับถูกคนของกลุ่มวาดะห์เจาะไข่แดงกลับมาได้

แน่นอนว่าผลออกมาเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมต้องตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานาจากท่าผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายที่ออกมาทำตัวเป็นกูรู้ (Guru) และกูไม่รู้

และเป็นไปตามคาด เสียงวิจารณ์จากท่านกูรู้และกูไม่รู้ ยอ่มต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ภาคอีสานไปต่างๆ ว่าเป็นภาคที่คนไม่มีความรู้บ้าง โดนซื้อเสียงบ้าง โดนขั้วอำนาจเก่าจูงจมูกบ้าง

และยังวิจารณ์ไปถึงขนาดที่ว่า ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาสูงจะเลือกพรรคอะไร คนรากหญ้าไม่มีความรู้กับนักวิชาการขายตัวจะเลือกพรรคอะไร

และแน่นอนว่าคนที่อยู่ฝ่ายกองเชียร์รัฐประหาร ย่อมต้องไม่ปลื้ม และต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์คนที่เชียร์ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องว่าไร้การศึกษา เป็นกรรมกร เป็นชนชั้นล่างอีกตามเคย

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยในเวลานี้ เป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "ภูมิภาคนิยม (Regional Centeredness)" กับ "ชนชั้นนิยม (Class - Centeredness)" ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของ "อัตนิยม(Egocentrism)" ซึ่งหนังสือ "อาวุธมีชีวิต? แนวคิดเชิงวิพาก์ว่าด้วยความรุนแรง" ของอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ได้อธิบายว่าอัตนิยมเป็นความสามารถในตัวของมนุษย์ในการแยกตนเองและกลุ่มของตนเองออกจากผุ้อื่นและกลุ่มอื่น ในทางจิตวิทยาเรียกกระบวนการดังกล่าวว่า "Egocentric Perceiving" หรือการรับรู้โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง

อัตนิยมนี้เอง เป็นสิ่งที่ได้สร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างความแตกต่าง สร้างความเป็นเขาความเป็นเราให้เด่นชัดยิ่งขึ้นจากการที่เรามองความเป็นตัว เราเองเป็นศูนย์กลาง และทำให้เราไม่สามารถเข้าใจผู้อื่นจากแง่มุมของเขาได้ โดยอาศัยองค์ประกอบที่เรียกว่า "การแยกประเภทเทียม (Pseudospeciation)" เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ให้เราสามารถกดฝ่ายที่แตกต่างจากเราลงไปจากระดับความเป็นมนุษย์ประเภทเดียวกับเราได้ง่ายขึ้น

และนี่เองคือพื้นฐานของความรุนแรงของมนุษยชาติ มายาการแห่งอัตลักษณ์นอกจากสามารถเป็นกำแพงปิดกั้นความเข้าใจในความแตกต่าง ซึ่งกันและกันได้แล้ว มันยังเพิ่มความสามารถให้มนุษย์สรรหาเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อมาอธิบายความชอบธรรมของความรุนแรงที่กระทำต่อกันได้ด้วย

ซึ่งในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยนั้น วิธีคิดภายใต้มายาการแห่งอัตลักษณ์นี้เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกโดยที่เรายึดตัวตนของเราเป็นที่ตั้ง ปิดตัวเองจากการรับรู้เข้าใจผู้อื่น ความสามารถในการมองความขัดแย้งที่มีตัวเราเป็นที่ตั้ง จะทำให้เราสามารถหาข้ออ้างหาเหตุผลมาอธิบายความผิดของฝ่ายตรงข้าม ตลอดจนเหตุผลที่รองรับความชอบธรรมในการกระทำรุนแรงกับฝ่ายตรงข้ามได้มากมาย แต่ในขณะเดียวกันความสามารถในการพิจารณาเหตุและผล ประเมินความผิดพลาดที่มาจากตนเองก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน

เหมือนเช่นที่คณะผู้ก่อการรัฐประหารและผู้สนับสนุนไม่เคยพิจารณาตนเองว่า สิ่งใดบ้างที่ตนทำแล้วประชาชนเอือมระอา ไม่ว่าจะเป็นการที่บริหารประเทศโดยไม่ฟังเสียงประชาชน การทำตัวเป็นศัตรูกับประชาชนทุกคนที่คิดเห็นต่างจากตน การบริหารประเทศที่มุ่งแต่หาความผิดของขั้วอำนาจเก่า (และไม่มีหลักฐานที่ชัดพอให้สังคมยอมรับร่วมกันได้ด้วย) แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ซ้ำยังไปเบียดเบียนชาวบ้านตาดำๆ อีก ดังเช่นการนำกำลังทหารไปกดดัน ไปคุกคามสิทธิเสรีภาพของชาวบ้านในภาคอีสานและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

จนกระทั่งสุดท้ายเมื่อแพ้ภัยตัวเองด้วยผลการประชามติรัฐธรรมนูญที่ชนะแค่เฉียดฉิว กับผลการเลือกตั้งที่แพ้พรรคการเมืองตัวแทนอำนาจเก่าอย่างราบคาบ ท่านผู้ทรงเกียรติเหล่านี้กลับยังมองไม่เห็นความผิดพลาดที่ตนเอง

ผมเขียนบทความนี้เพื่ออยากเตือนสติคนไทย โดยเฉพาะชนชั้นกลาง รวมถึงผู้ที่รู้สึกว่าตนเองเป็นชนชั้นกลางทั้งหลาย อย่าได้หลงมัวเมากับคำโฆษณาโง่ๆ ของผู้มีอำนาจที่ต้องการให้พวกเราแตกแยกกันอีกเลย

อย่าหลงมัวเมากับความเป็นชนชั้นกลาง ความเป็นคนเมืองของตนจนปิดกั้นหัวใจไม่รับฟังความรู้สึกจากหัวใจของผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะกับประชาชนผู้ใช้สัญชาติร่วมกัน เพียงแต่ต่างภูมิภาค ต่างฐานะ ต่างความเชื่อ

เราไม่มีวันไปถึงความเป็นประชาธิปไตยที่เราใฝ่ฝันหาได้ หากเรายังไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่าง เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว มันคือสังคมที่รวมความแตกต่างหลากหลายให้อยู่ร่วมกันได้ภายใต้ร่มเงาเดียว กันได้โดยสันติ ไม่เบียดขับ แบ่งแยกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกันด้วยมายาการโง่ๆ ทั้งหลายที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมาให้มีความสำคัญเหนือกว่าความเป็นมนุษย์ ประเภทเดียวกันในทางชีววิทยาที่แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย

ประชาธิปไตยที่แท้จริงมันต่างจากระบอบเผด็จการก็ตรงนี้เอง....

วรภัทร วีรพัฒนคุปต์
เลขาธิการศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย (ศยป)





http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=618

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551


ยุทธการดับไฟใต้ หรือยุทธการเลี้ยงไฟใต้ กับปริศนา "สายลับ" ทหาร
โดย : พณ ลานวรัญ
เมื่อ : 8/01/2008 12:33 PM

เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ผบ.ศปก.ตร.ส่วนหน้าคุมทหารยศ พ.ท. 2 นาย พร้อมพลเรือนอีก 1 คนมาทำการสอบสวน หลังพบพาสเวิร์ดเข้าศูนย์ข้อมูลยุทธการ กอ.รมน. ของเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คน ตกถึงมือแกนนำ อาร์เคเค. แต่เบื้องต้นทั้ง 3 ยังให้การปฏิเสธ

ความคืบหน้ากรณี พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผช.ผบ.ตร.ทำหน้าที่ ผบ.ศปก.ตร.ส่วนหน้า ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวน เชิญตัวนายทหารระดับ พ.ท. 2 นาย และข้าราชการพลเรือน 1 คน มาสอบสวนที่ ศปก.ตร.ส่วนหน้า เพื่อหาข้อเท็จจริงว่ามีส่วนพัวพันกับแกนนำ อาร์เคเค. จริงหรือไม่ เนื่องจากหลังจากที่ พ.ต.ท.พิชวุชญ์ สงวนสมบัติศิริ รอง ผกก.กลุ ่มงานสืบสวน ได้นำกำลังเข้าปิดล้อมจับกุมแกนนำ อาร์เคเค. ที่บ้านต้นหยี ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา สามารถจับตายนายยูฮัน ลาเต๊ะ นายฟาเด จิใจ และนายแวยูโซะ แวดือราแม ซึ่งมีตำแหน่งเป็น ผบ.ฝ่ายทหารของขบวนการบีอาร์เอ็นโคออร์ดิเนต และจับเป็นแนวร่วมได้ 5 คน พร้อมยึดคอมพิวเตอร์และแผ่นดิสก์ มาทำการตรวจสอบ พบว่ามีรายชื่อของนายทหาร 2 นาย พลเรือน 1 นาย อยู่ในแผ่นดิสกฺ์ดังกล่าว จึงได้รายงานให้ พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ทำหน้าที่ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ทราบ และขอตัวคนทั้ง 3 มาทำการสอบสวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ ศปก.ตร.สวนหน้า ได้ควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 นาย เพื่อทำการสอบสวนต่อไป โดยมีนายทหารจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมสอบสวนด้วย โดยล่าสุดแหล่งข่าวระดับสูงใน ศปก.ตร.ส่วนหน้า ได้เปิดเผยให้ทราบว่า มีผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับ แกนนำขบวนการทั้ง 3 คนจริง โดยเป็นนายทหารยศพันโท ทำหน้าที่ ผบ.ฉก.1 นาย ระดับ จ.ส.อ. 1 นาย และเป็นพลเรือนซึ่งเป็นอาจารย์ 1 คน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อนามสกุลได้ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างสอบสวนหาข้อเท็จจริง

ส่วนสาเหตุที่ต้องนำตัวมาสอบสวน เนื่องจากจากการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ และแผ่นดิสก์ของแกนนำ อาร์เคเค.ที่ยึดมาได้ เจ้าหน้าที่พบรหัสประจำตัว หรือพาสเวิร์ดของเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คน ปรากฏอยู่ในแผ่นดิสก์ โดยรหัสส่วนตัวดังกล่าว เป็นรหัสที่ แกนนำ อาร์เคเค. สามารถผ่านเข้าไปเจาะข้อมูลด้านยุทธการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ เป็นเหตุให้แกนนำขบวนการ สามารถรู้ข้อมูลขั้นความลับของกองทัพ จึงสามารถวางแผน ตอบโต้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้ผลทุกครั้ง เพราะล่วงรู้แผนการทางด้านยุทธการนั่นเอง

จากการสอบสวนในขั้นแรก เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 นาย ยังให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้ให้รหัสผ่านกับ แกนนำ อาร์เคเค.ทั้ง 3 คนที่ถูกยิงเสียชีวิต ดังนั้นจึงเจ้าหน้าที่ จึงต้องทำการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปว่า รหัสผ่านดังกล่าว ตกอยู่ในมือของแกนนำขบวนการอย่างไร หรือใครเป็นผู้บอกกับแกนนำของขบวนการ ???

หลังจากอ่านข่าวดังกล่าวจากเวปไซด์ผู้จัดการ หลายคนอาจคิดตกใจว่าแกนนำฝ่ายอาร์เคเคมีศักยภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่งในการหา ข่าว มีความรู้ ความสามารถและมีมืออาชีพถึงขั้นเจาะข้อมูลได้ จนสามารถต่อต้านข่าวกรองและตอบโต้ยุทธการของฝ่ายรัฐได้ บ้างก็อาจคิดว่า อาจจะมีหนอนบ่อนไส้ในฝ่ายรัฐส่งข้อมูลลับให้

แต่หลังจากรับรู้เรื่องนี้นั้น มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงยุคสมัยสงครามเวียดนาม ยุคสงครามเย็น จนถึงภาพยนต์คลาสสิคเรื่อง 2 คน 2 คม ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างมี "สายลับ" แฝงตัวเข้ามา จับได้ไล่ทันมันไม่มีวันสิ้นสุด

เพื่อนตำรวจบอกผมว่า ในการจับกุมการลักลอบค้ายาเสพติด หรือการขนยาเสพติดล๊อตใหญ่ๆ หลายครั้ง ส่วนมากก็มาจากได้รับรายงานข่าวจาก "สายลับ" ที่แฝงตัวเข้าไปในขบวนการ แจ้งเบาะแส เวลา สถานที่หรือพาหนะและรูปพรรณมา..

ด้านที่สำคัญคงต้องเห็นใจการทำงานของ "สายลับ" เหล่านั้นเป็นอย่างมากที่เสียสละเสี่ยงชีวิตอยู่ในความเป็นความตายเพื่อบ้านเมือง และแน่นอน ขบวนการค้ายาเสพติด ของเถื่อน ตลาดมืด บ่อนการพนัน ย่อมมี "สาย" ของเจ้าหน้าที่เข้าไปปะปนหาข่าวอยู่ไม่มากก็น้อยในแต่ละขบวนการ บ้างก็ฝังตัวอยู่อย่างยาวนาน เพื่อแสวงหาข้อมูลหลักฐานตามระดับชั้นที่ต้องการ หรือตามเป้าหมายที่ทางการต้องการ ซึ่งอาจจะต้องปล่อยผ่านบางเรื่อง เพื่อไปสู่บางเรื่อง หรือเพื่อเรื่องที่ต้องการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การสั่งสมของยุทธการนี้ ย่อมเกิดอาณาจักร "สีเทา" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การผ่านไปมาของขาวกับดำย่อมมีการหาผลประโยชน์ในช่วงสีเทาเป็นธรรมดา สายบางคนก็กลายเป็นโจรไปจริงๆ หรือสายโจรมาเป็นตำรวจจริงๆ อย่างในภาพยนต์ 2 คน 2 คมก็คงเป็นไปได้ ถ้ามี

เราจึงเห็นภาพในสังคมว่า ทำไมเจ้าหน้าที่บางนายถึงกลายเป็นโจร หรือเป็นผู้มีอิทธิพลไปได้ บางคนไปคุมบ่อน ค้ายา ของเถื่อน เสียเองดังที่รู้เห็นกันอยู่ บ้างก็เลี้ยงสาย กลายเป็น "ซุ้มมือปืน" หรือชุมนุมมาเฟียก็มาก แน่นอนอาณาจักรสีเทาหลายส่วนถูกดูแลและกำกับโดยบิ๊กตำรวจ หรือเสธ.ทหารคนใหญ่คนโตกันทั้งนั้น โดยเฉพาะธุรกิจการรักษาความปลอดภัย ส่วยและการค้าของเถื่อน

แน่นอน คดีเหล่านี้ ขึ้นอยู่ว่า จะจับอะไร ปล่อยอะไร โชว์อะไร เพื่อไม่ให้ชัดเจนเกินไปนักในสังคม และหรือหาก "หน่วยเหนือ" ขอมา

ย้ำว่าที่กล่าว เป็นเจ้าหน้าที่สีเทาส่วนน้อยนะครับ ในวงการก็รู้ๆ กันอยู่

หน่วยการข่าว เพื่อหาข่าวกรองและต่อต้านข่าวกรอง มันเป็นยุทธการมาอย่างช้านานแล้วของฝ่ายรัฐ ในยุคสงครามเย็นหน่วยการข่าวนี้ทำหน้าที่ถึง การปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายเลยทีเดียว ยกตัวอย่างยุทธการหนึ่งซึ่งมหาอำนาจเคยวางแผนให้ประเทศเป็นกลางต่อต้านฝ่ายศัตรู ตามยุทธวิธีแบ่งแยกและโดดเดี่ยวศัตรู

ขั้นที่ 1 ท่านไม่จำเป็นต้องสนับสนุนเรา ขอเพียงแต่อย่าสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม ขั้นที่ 2 ท่านไม่ต้องเห็นด้วยกับเรา แต่ท่านต้องไม่เห็นด้วยกับฝ่ายตรงข้าม ขั้นที่ 3 ท่านไม่ต้องร่วมกับเรา แต่ท่านต้องต่อต้านฝ่ายตรงข้าม...

ในสมัยสงครามเวียดนาม ได้รับการยืนยันว่า สมัยนั้นกองทัพมหาอำนาจถึงขั้นจัดตั้งหน่วยลับออกปฏิบัติการในยามค่ำคืน (ฆ่า-ลากไส้ ฯลฯ) ต่อพลเมืองเวียดนามในไซ่ง่อนเพื่อโยนความผิดและสร้างภาพอำมหิตผิดมนุษย์ให้พวกเวียดกง

แน่นอน จนถึงวันนี้ขบวนการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีตัวตนอยู่จริง บ้างก็มีการจัดตั้งเป็นสายงานเป็นขบวนการ จากความคิด ความเชื่อและบุคคล และระดับย่อยที่กระจายตัวในพื้นที่ต่างๆ ในรูปแบบที่ไม่มีเอกภาพและไร้การบังคับบัญชารวมศูนย์แต่เน้นการตอบโต้ภาค รัฐเป็นหลัก ตามรูปแบบสงครามยุคใหม่-ศัตรูที่ไร้ตัวตนของรัฐ บ้างก็มาจากความคับแค้นของชาวบ้านเองที่ได้รับจากฝ่ายรัฐ บ้างก็มาจากขบวนการค้ายาเสพติด น้ำมันและของเถื่อนเอง ออกโรงผสมปนเปกันไปจนเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างในขณะ นี้ และฝ่ายความมั่นคงก็รู้ปัญหาดี

ผมสอบถามไปยังข้าราชการระดับซี 10 ซึ่งใกล้ชิดความรับผิดชอบในเรื่องปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยผู้หนึ่ง ยืนยันว่า แกนนำ อาร์เคเค.ทั้ง 3 คนที่ถูกยิงเสียชีวิตซึ่งมีรหัสผ่านเข้าข้อมูลและยุทธการของกองอำนวยการ รักษาความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้านั้น เป็นสายของเจ้าหน้าที่ทหาร !!!

เพียงแต่ว่า หน่วยที่ไปปฏิบัติการจับกุมเป็นคนละหน่วยงานที่ไม่รู้กันว่าใครเป็นสายใคร!!!

สรุปว่า ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากกลุ่มขบวนการที่ว่ามา ฝ่ายความมั่นคงมีเอี่ยวด้วย!!!

ผมย้อนนึกไปถึงพื้นที่สีเทาที่ขาวกับดำใช้แสวงหาผลประโยชน์ และแน่นอน บนระนาบเดียวกันของเส้นเจ้าหน้าที่รัฐกับโจรนี้มีประชาชนอยู่ตรงกลางและ เป็นผู้ถูกกระทำโดยตลอดมา...

ผมนึกไปถึงงบประมาณทหารปีละนับหมื่นล้านเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ งบลับกองทัพที่ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ การค้าอาวุธเถื่อนและตลาดมืดซึ่งไม่รู้ใครหรือนักการเมืองหน้าไหนเกี่ยว ข้องหรือได้ประโยชน์อยู่กับมันบ้าง

ทำเอาสงสัยว่า ยุทธการทางการทหารที่ใช้กันแบบนี้ เป็นยุทธการดับไฟใต้ หรือเลี้ยงไฟใต้ (ไว้ให้นานๆ) กันแน่ !!!...


ที่มา : Thai-NGO


วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

ประวัติศาสตร์แห่งอนิเมะ : หนทางจากอดีตสู่ปัจจุบัน

history.jpg

บทความนี้ขอพาเพื่อนๆผู้อ่านทั้งหลาย ย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตตั้งแต่อนิเมะเรื่องแรกของญี่ปุ่นถือกำเนิด มาจนถึงอนิเมะในปัจจุบันที่หลายๆคนรู้จักกันดี ถ้าพร้อมแล้ว ตั้งสมาธิแล้วลุยกันเลยเพราะมันมีข้อมูลเพียบ!!

ป.ล. มาแก้ไขโดยเพิ่มเรื่อง โดราเอมอน อิคคิวซัง และดราก้อนบอลครับ

ยุคบุกเบิก (1960s)
การทำภาพยนต์ที่มีคนแสดงในประเทศญี่ปุ่นนั้นมักจะมีงบประมาณในการทำไม่สูง นัก ทำให้คนญี่ปุ่นต้องหันมาใช้การวาดการ์ตูนหรืออนิเมะเข้ามาทดแทนเรื่องของงบ ประมาณที่จำกัด เพื่อจะสร้างเนื้อเรื่องและฉากต่างๆตามต้องการโดยไม่ต้องสร้างฉากนั้นๆขึ้น มาจริงๆ ดังนั้นจะเห็นว่าผู้สร้างสามารถจะใช้จินตนาการในการคิดเรื่องได้เต็มที่โดย ไม่ต้องไปติดข้อจำกัดเรื่องงบประมาณเลย และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงมีการพัฒนาเรื่องของอนิ เมะมาอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

hakujaden.jpg

Hakujaden - The Tale of the White Serpent

อนิเมะสีเรื่องแรกของญี่ปุ่นนั้นมีชื่อว่า ฮาคุจาเด็น (นางพญางูขาว , 1958) เป็นอนิเมะที่มีการวาดคล้ายๆแอนิเมชั่นของดิสนีย์ ซึ่งเป็นผลงานของ โตเอะแอนิเมชั่น ซึ่งเป็นผู้สร้างอนิเมะอันโด่งดังมากมาย เช่น ดราก้อนบอล เซเลอร์มูน และวันพีซ เป็นต้น

hols.jpg

Hols : Prince of the Sun

อย่างไรก็ตามอนิเมะเรื่องแรกที่มีการฉีกสไตล์ให้แตกต่างจากแอนิเมชั่นของดิสนีย์ก็คือเรื่อง โฮลุส เจ้าชายแห่งดวงอาทิตย์ (Hols , Prince of the Sun , 1968) ผลงานของ อิซาโอะ ทากาฮาตะ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นผลงานของโตเอะเข่นกัน และยังเป็นอนิเมะที่มีอนาคตผู้กำกับฝีมือดีอย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ มาทำหน้าที่เป็นอนิเมเตอร์ และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นอนิเมะที่มีสไตล์การวาดเป็นต้นแบบของอนิเมะในปัจจุบันอีกด้วย

atom.jpg

Astroboy

ต่อมา อ.เทะซึกะ โอซามุ ก็ได้ก่อตั้งบริษัททำอนิเมชั่นขึ้นมาแข่งกับโทเอย์บ้างชื่อว่า มูชิโปรดักชั่น และในปี ค.ศ.1963 ก็ได้ส่ง เจ้าหนูปรมาณู ซึ่งถือว่าเป็นอนิเมะที่ฉายทางทีวีเรื่องแรกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง หลายๆคนคิดว่านี่คืออนิเมะที่ฉายทางโทรทัศน์เรื่องแรก แต่แท้ที่จริงแล้วอนิเมะที่ฉายทางโทรทัศน์เรื่องแรกในรูปแบบมูวี่ก็คือ เรื่อง ทรีเทลส์ (1960) ส่วนเรื่องแรกที่ฉายแบบทีวีซีรีส์ คือ เรื่อง โอโตกิ มังกะ คาเลนดา (1961) ต่างหาก

ช่วงปี 1970s
ในช่วงนี้มีการแข่งขันอย่างรุนแรงจากวงการโทรทัศน์ส่งผลให้อุตสาหกรรมภาพ ยนต์ญี่ปุ่นหดตัวลง ส่งผลให้มีการลดจำนวนพนักงานของโตเอะลง และบางส่วนก็แยกตัวออกไปบริษัทอื่น ส่วนมูชิโปรดักชั่นก็ต้องล้มละลาย พนักงานเก่าจึงออกไปก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาสองแห่ง ซึ่งได้ผลิตงานอนิเมะคุณภาพออกมามากมายในปัจจุบัน นั่นก็คือ แม้ดเฮาส์โปรดักชั่น (Madhouse) ( Beck , Di Gi Charat ,คาร์ดแคปเตอร์ซากุระ , Perfect Blue ) และ ซันไรส์ (กันดั้ม , ซิตี้ฮันเตอร์ , ไมฮิเมะ , Code Geass )

doraemon.jpg

ในช่วงนี้ยังมีอนิเมะอมตะในหัวใจใครหลายๆคนอย่างเรื่อง โดราเอมอน (1973) ซึ่งมีเนื้อเรื่อวหลักมาจากหนังสือการ์ตูนเกิดขึ้นด้วย

ikkyu.jpg

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ( 1975) การ์ตูนที่นำมาฉายบ้านเราซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบ

gundam.jpg

Mobile Suit Gundam

และยังมีการเกิดขึ้นของอนิเมะแนวหุ่นยนต์ เช่น Mazinger Z (1972) , Space Battleship Yamato (1974) และ Mobile Suit Gundam (1979) ขึ้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของอนิเมะแนวไซ-ไฟ จากเดิมที่จะออกไปทางซุปเปอร์ฮีโร่ได้กลายมาเป็นแนวที่สมจริงมากขึ้นอย่าง เช่นแนวอวกาศซึ่งมีแนวเรื่องที่ซับซ้อนและเริ่มเป็นการยากที่จะตัดสินอย่าง ชัดเจนว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกสิ่งใดผิดกันแน่
ซึ่งเรื่อง Mobile Suit Gundam (1979) ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตำนวนของวงการอนิเมะเลยทีเดียว เพราะเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมและมีการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับกัน ดั้มต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ช่วงปี 1980s

yamato.jpg

Space Battleship Yamato Movie ver.

ด้วยความนิยมของภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ทำให้อนิเมะแนวอวกาศได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้มีการนำเอาอนิเมะเรื่อง เรือรบอวกาศยามาโตะ (Space Battleship Yamato) กลับมาทำใหม่ในรูปแบบอนิเมะที่ฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคทองคำแห่งอนิเมะ” เลยทีเดียว

ในช่วงนี้เองที่ประเทศอเมริกาก็ได้มีการนำอนิเมะชื่อดังไปดัดแปลงเป็นแอ นิเมชั่นของตัวเองหลายต่อหลายเรื่อง เช่น Robotech ที่ดัดแปลงมาจากเรื่อง มาครอส ของญี่ปุ่นเป็นต้น

จากเหตุการณ์ยุคทองของอนิเมะนี้เองก่อให้เกิดกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า โอตาคุ ขึ้นมา และส่งผลให้มีนิตยสารอนิเมะอย่าง Animage และ Newtype ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนๆอีกด้วย

daicon4.jpg

Daicon IV

นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดกลุ่มผู้สร้างการ์ตูนมือสมัครเล่น ( แต่ฝีมือไม่ใช่เล่น ) อย่างกลุ่มที่มีชื่อว่า Daicon Film ซึ่งมีผลงานที่ได้รับการจับตามองเรื่องแรกๆก็คือการทำอนิเมะที่มีชื่อว่า Daicon III (1981) และ Daicon IV สำหรับงานเทศกาล Japan National SF Convention ซึ่งได้รับความนิยมจากกลุ่มโอตาคุเป็นอย่างมาก ต่อมากลุ่ม Daicon Film ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Studio Gainax สตูดิโอสุดแนวที่สร้างผลงานแปลกตาซึ่งโดนใจคนทั่วโลกอย่าง Evangelion , FLCL และ Gurren Lagann เป็นต้น

nausicaa.jpg

Nausicaä of the Valley of the Wind

ในช่วงนี้ก็ได้มีการสร้างอนิเมะชั้นเยี่ยมเรื่อง Nausicaä of the Valley of the Wind (1984) ขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นอนิเมะที่ทำให้ ฮายาโอะ มิยาซากิ โด่งดัง และเป็นต้นกำเนิดของการก่อตั้งสตูดิโอในดวงใจของคนหลายๆคนอย่าง Studio Ghibli ( Laputa , Totoro , Princess Mononoke , Spirited Away ) ขึ้นมาในภายหลัง

ในช่วงนี้ยังมีการเกิดขึ้นของ OVA ขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งส่งผลให้เริ่มสามารถใช้ภาพที่มีเนื้อหาล่อแหลมในอนิเมะได้มากขึ้น

dragonball.jpg

ในช่วงนี้ก็มีการนำหนังสือการ์ตูนชื่อดังอย่าง ดราก้อนบอล ( 1986) มาทำอนิเมะด้วย

จากความสำเร็จอย่างสูงของ Nausicaa ส่งผลให้มีความพยายามที่จะสร้างอนิเมะแบบมูวี่มากขึ้น และต่างก็มีการใช้งบประมาณที่สูงขึ้นในการสร้าง ซึ่งเรื่องที่ใช้งบประมาณมหาศาลที่สุดสองเรื่องในขณะนั้นก็คือ Royal Space Force: The Wings of Honneamise ( Gainax 800 ล้านเยน , 1987) และ Akira ( ร่วมทุนหลายบริษัท 1100 ล้านเยน ,1988)

wing.jpg

The Wings of Honneamise

akira.jpg

Akira แต่ดูเหมือนว่าอะไรอะไรจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เมื่ออนิเมะทั้งหลายทำรายได้ไม่ดีนักในประเทศญี่ปุ่น ไม่เว้นแม้แต่ 2 เรื่องข้างต้น ส่งผลให้มีสตูดิโอจำนวนมากต้องปิดตัวลง ดูเหมือนว่าจะมีก็แต่ Studio Ghibli เท่านั้นที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำแต่เพียงผู้เดียว
ถึงแม้ว่า Akira จะไม่ประสบความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่นเอง แต่มันกลับเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ จนได้ชื่อว่าเป็น อนิเมะที่ดีที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา เลยทีเดียว

ช่วงปี 1990s

eva01.jpg

Neon Genesis Evangelion

ในปี 1995 ฮิเดอากิ อันโนะ ผู้ก่อตั้ง Studio Gainax ได้เขียนและกำกับอนิเมะเรื่อง Neon Genesis Evangelion ขึ้นมาซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นเองและในต่างประเทศ อนิเมะเรื่องนี้ก่อให้เกิดการโต้เถียงหลายๆอย่าง เนื่องด้วยเนื้อหาที่เต็มไปด้วยปริศนาและคำโกหก อีกทั้งยังมีตอนจบที่แปลกหลุดโลกจนแฟนๆหลายคนรับไม่ได้ และมีการเรียกร้องให้อันโนะทำตอนจบขึ้นมาใหม่ (บางรายร้ายแรงถึงขนาดเขียนจดหมายขู่ฆ่าเลยก็มี) อันโนะจึงตัดสินใจทำ The End of Evangelion ขึ้นมาเป็นตอนจบอีกแบบหนึ่งของเรื่องนี้ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมากจนได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก

หลังจากการประสบความสำเร็จอย่างมากของ Evangelion ส่งผลให้มีอนิเมะแนวชวนปวดหัวออกมาจำนวนมาก เช่น Serial Experiments Lain (1998) และ RahXephon (2002)

ในช่วงปี 90s ยังเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของอนิเมะที่สร้างจากเกมอย่าง Pokemon ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากเด็กๆทั่วโลก จนเกิดเหตุการณ์ที่เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าเกิด เหตุการณ์เด็กเกิดอาการช๊อคเนื่องจากดูอนิเมะเรื่องโปเกมอน (ตอน ทหารไฟฟ้าไพโรกอน) ซึ่งมีฉากการปล่อยแสงกระพิบซ้ำๆจำนวนมาก จนต้องมีการปรับเปลี่ยนเอฟเฟคให้ปลอดภัยมากขึ้น

ช่วงปี 2000s
อนิเมะในยุคนี้มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิคเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพของอนิเมะ กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอนิเมะที่มีพวกหุ่นยนต์ หรือเครื่องจักรต่างๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้การเคลื่อนไหวลื่นไหลขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยลดเวลาการทำงานให้น้อยลงอีกด้วย เนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผลให้นั้นมันง่ายและสะดวกกว่าวาดด้วย มือเยอะ

ในช่วงนี้อนิเมะทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจเหล่าโอตาคุมากขึ้น อนิเมะที่ฉายตอนดึกหลายๆเรื่องมีฉากแฟนเซอร์วิซจำนวนมาก และหลายเรื่องก็สร้างมาจากเกมโป๊อีกด้วยแต่ก็ได้มีการตัดฉากที่ไม่เหมาะสมอ อกไป เช่น Kanon , Air และ Shuffle! เป็นต้น

haruhi.jpg

Melancholy of Haruhi Suzumiya

ในช่วงนี้มีอนิเมะที่ใช้เทคนิคการสร้างความแปลกประหลาดใจอย่าง การสลับลำดับการออกอากาศของเรื่อง Suzumiya Haruhi no Yuutsu ( Kyoto Animation ,2006 ) ซึ่งส่งผลให้เกิดการพูดถึงอย่างกว้างขวาง รวมถึงความนิยมในการเต้น Hare Hare Yukai Dance ซึ่งเป็นการเต้นตามเพลงจบของเรื่องนี้ในเว็บไซต์อย่าง Youtube ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างสีสันต่อวงการอนิเมะเป็นอย่างมาก

code-geass-lelouch-of-the-rebellion.jpg

Code Geass

gurren.jpg

Tengen Toppa Gurren Lagann

ในช่วงหลังนี้ก็มีอนิเมะที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย เช่น Gundam หลายๆภาค (Sunrise) , Code Geass (Sunrise) , Gurren Lagann (Gainax) , Lucky Star ( Kyoto Animation ) และเรื่องอื่นๆอีกมากมายในดวงใจหลายๆคน

อนาคตของแวดวงอนิเมะต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร พวกเราจะได้ร่วมกันเป็นพยานของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปครับ!!

เรียบเรียงจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_anime